เลือดออกตามไรฟัน แก้ยังไง เกิดจากอะไร ใช่มะเร็งไหม

เลือดออกตามไรฟันเป็นปัญหาสุขภาพช่องปากที่พบได้บ่อย โดยสามารถสังเกตเห็นได้โดยง่ายจากการมีเลือดปนออกมาขณะแปรงฟันหรือใช้ไหมขัดฟัน ทำให้หลายคนกังวลใจและสงสัยว่าเกิดจากสาเหตุใด จะเป็นอันตรายหรือไม่ และจะป้องกันแก้ไขได้อย่างไร

ในความเป็นจริงแล้ว เลือดออกตามไรฟันส่วนใหญ่เกิดจากปัญหาสุขอนามัยช่องปากไม่ดี ทำให้เกิดคราบแบคทีเรียสะสมจนกลายเป็นหินปูน จึงไปกระตุ้นให้เหงือกเกิดการอักเสบและเลือดออกได้ง่าย นอกจากนี้ยังอาจมีสาเหตุอื่นๆ เช่น แปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันแรงเกินไป มีการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน เป็นโรคเลือดออกผิดปกติ หรือขาดวิตามินบางชนิด เป็นต้น

แม้เลือดออกตามไรฟันจะดูเหมือนเป็นอาการเล็กน้อย แต่หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา ก็อาจลุกลามจนเหงือกอักเสบรุนแรงและกระดูกรองรับรากฟันถูกทำลายได้ในระยะยาว ดังนั้น เมื่อสังเกตเห็นอาการผิดปกติ จึงควรไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและรักษา พร้อมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากให้ถูกวิธี เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นซ้ำ และรักษาเหงือกให้แข็งแรงได้ในระยะยาว

สาเหตุของเลือดออกตามไรฟัน

สาเหตุที่ทำให้เลือดออกตามไรฟัน

  1. เหงือกอักเสบ (Gingivitis) ซึ่งเกิดจากการสะสมของคราบแบคทีเรียและหินปูนบริเวณไรฟันและร่องเหงือกเป็นจำนวนมาก ทำให้เหงือกเกิดการอักเสบและมีเลือดออกได้ง่ายเมื่อแปรงฟัน
  2. แปรงฟันแรงเกินไปหรือใช้แปรงสีฟันและไหมขัดฟันไม่ถูกวิธี เช่น ใช้แปรงขนแข็งเกินไป แปรงถูไปมาแรงๆ ใช้ไหมขัดฟันแล้วออกแรงกดมากเกินไป อาจทำให้เหงือกเป็นแผลและมีเลือดออกได้
  3. การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน เช่น ในหญิงตั้งครรภ์หรือผู้หญิงที่มีประจำเดือน ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงอาจส่งผลให้เหงือกมีความไวต่อการอักเสบและเลือดออกได้ง่ายขึ้น
  4. การติดเชื้อในช่องปากบริเวณเหงือกหรือรากฟัน เช่น ฟันผุลึก ฟันติดเชื้อ ฟันแตก เป็นต้น
  5. ภาวะเลือดออกผิดปกติ เช่น โรคฮีโมฟีเลีย ซึ่งทำให้เกล็ดเลือดต่ำ ทำให้เลือดแข็งตัวได้ยาก ส่งผลให้เลือดออกง่าย
  6. มีปัญหาสุขภาพอื่นๆ เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว ไข้เลือดออก ไขกระดูกฝ่อ เป็นต้น
  7. ภาวะขาดวิตามินบางชนิด เช่น วิตามินซี หรือวิตามินเค ทำให้เหงือกเปราะบางและเลือดออกได้ง่าย แต่พบได้น้อย คนไทยมักเข้าใจว่าตัวเองขาดวิตามินซี แต่ในความเป็นจริงคนไทยขาดวิตามินซีน้อยมาก คิดเป็นแค่ประมาณ 9.9% ของประชากรเท่านั้น
  8. มีการใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น วาร์ฟาริน แอสไพริน เฮพาริน

อาการเลือดออกตามไรฟันมีอะไรบ้าง

แปรงฟันแล้วมีเลือดออก

อาการเลือดออกตามไรฟันสามารถสังเกตุได้โดยง่าย คือ

  • มีเลือดติดอยู่ที่ขนแปรงสีฟันหลังจากแปรงฟันเสร็จ หรือมีเลือดปนออกมาเวลาบ้วนปาก
  • เหงือกมีลักษณะบวม แดง อักเสบ หรือรู้สึกเจ็บเวลาแปรงฟัน
  • มีกลิ่นปากหรือรสคาวเลือดในปากขณะแปรงฟันหรือใช้ไหมขัดฟัน
  • ในกรณีที่มีอาการรุนแรง เลือดอาจไหลออกมาจากเหงือกไม่หยุด แม้จะไม่ได้แปรงฟัน เช่น ตอนนอน

วิธีแก้เลือดออกตามไรฟัน

  • ไปพบทันตแพทย์ก่อนเป็นอันดับแรกเพื่อตรวจหาสาเหตุและรับการรักษาที่เหมาะสม เช่น การขูดหินปูน ทำความสะอาดคราบจุลินทรีย์ เป็นต้น
  • รักษาสุขอนามัยช่องปากให้ดี แปรงฟันอย่างถูกวิธีวันละ 2 ครั้ง เช้า-ก่อนนอน ใช้แปรงสีฟันขนนุ่ม ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ และแปรงอย่างนุ่มนวล ไม่ควรแปรงแรงจนเกินไป
  • ใช้ไหมขัดฟันที่มีขนาดพอดี ค่อยๆ สอดเข้าไปตามซอกฟันเบาๆ อย่างระมัดระวัง ไม่ควรใช้แรงกดมากจนเกินไปจนทำให้เหงือกเป็นแผล
  • บ้วนปากด้วยน้ำเกลือ (ใช้น้ำอุ่น 1 แก้ว ผสมกับเกลือ 1 ช้อนช้าแล้วคนให้เข้ากัน) เพื่อลดการอักเสบของเหงือก แล้วบ้วนทิ้ง ทำวันละ 2-3 ครั้ง
  • หลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่มีรสจัด เปรี้ยว หวานจัด แอลกอฮอล์ และบุหรี่ ซึ่งจะยิ่งระคายเคืองเหงือกที่กำลังอักเสบอยู่
  • กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ทานของมีประโยชน์ มีวิตามินซี วิตามินดี และแคลเซียม เพื่อช่วยให้เหงือกและกระดูกแข็งแรง
  • หากทันตแพทย์ตรวจแล้วไม่พบความผิดปกติในช่องปาก แต่ยังมีเลือดออกตามไรฟันอยู่ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุอื่นๆ ที่เป็นไปได้ เช่น ภาวะเลือดออกผิดปกติ เป็นต้น

การป้องกันอาการเลือดออกตามไรฟัน

  • ไปพบทันตแพทย์เป็นประจำทุก 6 เดือน หากมีโรคเหงือกอักเสบจะได้รักษาได้ไวขึ้น
  • ผู้ที่มีภาวะเลือดออกผิดปกติ เมื่อไปพบทันตแพทย์ควรแจ้งให้ทันตแพทย์ทราบด้วย เพราะอาจต้องเตรียมความพร้อมหรือปรับการรักษาเป็นพิเศษ
  • แปรงฟันสม่ำเสมอวันละ 2 ครั้ง เช้าและก่อนนอน ใช้แปรงสีฟันขนนุ่มและยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ แปรงอย่างนุ่มนวลทั่วทุกซี่ฟันและเหงือก ใช้เวลาแปรงอย่างน้อยครั้งละ 2 นาที
  • เปลี่ยนแปรงสีฟันทุก 3-4 เดือน เนื่องจากขนแปรงจะแข็งขึ้นเมื่อใช้ไประยะเวลาหนึ่ง
  • ใช้ไหมขัดฟันที่มีขนาดพอดีเพื่อกำจัดเศษอาหารและคราบจุลินทรีย์ตามซอกฟัน ค่อยๆ สอดไหมเข้าไประหว่างซี่ฟันและใต้ขอบเหงือกเบาๆ วันละ 1 ครั้ง
  • กินอาหารที่มีประโยชน์ ที่อุดมไปด้วยแคลเซียม วิตามินซี และวิตามินดี เพื่อบำรุงให้ฟันและเหงือกแข็งแรง เช่น ผัก ผลไม้ นม ชีส เป็นต้น
  • งดสูบบุหรี่ เพราะนอกจากจะทำให้ฟันเหลือง ยังทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคปริทันต์อักเสบและเหงือกร่นได้ง่าย
  • หากมีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ควรควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ดี เพราะจะทำให้ภูมิต้านทานลดลง เสี่ยงต่อการติดเชื้อในช่องปากได้ง่าย

 

บทความนี้ตรวจสอบโดย

ทพ. อดิศร หาญวรวงศ์

Adisorn Hanworawong

ทันตแพทยศาสตร์บัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
Master in Implant Dentistry (gIDE/UCLA CA. USA.)
วท.ม. สาขาวิทยาการแพทย์ (วิศวกรรมเนื้อเยื่อ)
คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ประกาศนียบัตร อบรมหลักสูตรจัดฟัน Fellowship of Indian Academy of Orthodontics
Invisalign Cert., Invisalign provider

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้เหล่านี้มีไว้เพื่อช่วยให้เราเข้าใจพฤติกรรมการใช้งานเว็บไซต์ของคุณได้ดียิ่งขึ้น ข้อมูลที่ได้จะถูกนำไปวิเคราะห์และใช้ในการพัฒนาปรับปรุงเนื้อหา บริการ และการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดให้กับคุณ ทั้งนี้ข้อมูลดังกล่าวจะไม่มีการเปิดเผยต่อบุคคลภายนอกและจะถูกเก็บเป็นความลับ

บันทึกการตั้งค่า