ทันตกรรมสำหรับเด็กพิเศษ

“เด็กพิเศษ” เป็นคำย่อมาจาก “เด็กที่มีความต้องการพิเศษ” ซึ่งหมายถึงเด็กที่ต้องการความช่วยเหลือดูแลเป็นพิเศษมากกว่าเด็กทั่วไปในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการรักษาพยาบาล การดูแล การช่วยเหลือ และความเข้าใจ เด็กกลุ่มนี้มีความแตกต่างหลากหลาย ทั้งในประเภทของความต้องการและระดับความช่วยเหลือที่จำเป็น ในบางประเทศอาจใช้คำว่า “เด็กที่มีความแตกต่าง” แทนคำว่า “เด็กพิเศษ” เพื่อลดความรู้สึกแบ่งแยก

ส่วนเด็กพิเศษในทางทันตกรรมจะหมายถึงเด็กพิเศษที่มีความต้องการหรือมีข้อจำกัดด้านการเคลื่อนไหว การสื่อสาร เช่น ออทิสติก สติปัญญาบกพร่อง สมาธิสั้น ดาวน์ซินโครม สมองพิการ หรืออื่นๆ ซึ่งการทำทันตกรรมกับเด็กพิเศษเหล่านี้ไม่ได้ยากเสมอไป แต่อาจจะต้องใช้วิธีการที่แตกต่าง

เด็กเหล่านี้มักจะมีความเสี่ยงต่อปัญหาทางช่องปากที่สูงกว่าและมีข้อจำกัดในการดูแลตัวเอง เช่น ไวต่อประสาทสัมผัส แปรงฟันยาก กลืนยาก น้ำลายน้อย สำลักง่าย เป็นต้น ซึ่งจะมีผลทำให้เกิดฟันผุ เหงือกอักเสบ คราบหินปูน กลิ่นปาก หรือเกิดอุบัติเหตุทางช่องปากได้ง่ายกว่า

หมอฟันเด็กกับเทคนิคการทำฟันเด็กพิเศษ

การทำฟันให้เด็กพิเศษนั้นต้องอาศัยความเข้าใจ และมีเทคนิคในการสื่อสารตามข้อจำกัดและความสามารถในการสื่อสารของเด็กแต่ละคน โดยสามารถแบ่งแนวทางการรักษาตามระดับการสื่อสารของเด็กได้ดังนี้

การทำฟันเด็กพิเศษที่มีความเข้าใจในการสื่อสารอยู่ในระดับสูง

ถ้าหากเด็กพิเศษสามารถสื่อสารและเข้าใจได้ดี ทันตแพทย์จะใช้เทคนิคทางจิตวิทยาเพื่อสร้างความร่วมมือ ซึ่งเป็นวิธีที่คล้ายกับการทำฟันในเด็กทั่วไป แต่จะมีการปรับให้เหมาะสมกับเด็กแต่ละคนมากขึ้น เทคนิคที่นิยมใช้ ได้แก่:

  • การบอก-แสดง-ทำให้ดู (Tell-Show-Do): เป็นเทคนิคพื้นฐานที่ทันตแพทย์จะอธิบายให้เด็กฟังก่อนว่าจะทำอะไรบ้าง (บอก) จากนั้นจะแสดงให้ดูโดยใช้เครื่องมือกับนิ้วมือของเด็กหรือแบบจำลอง (แสดง) แล้วจึงลงมือทำในช่องปากจริง (ทำ) วิธีนี้จะช่วยลดความกลัวและความวิตกกังวลของเด็กได้
  • การให้คำชมและการเสริมแรงทางบวก (Positive Reinforcement): เมื่อเด็กให้ความร่วมมือ ทันตแพทย์จะให้คำชมเชยหรือของรางวัลเล็กๆ น้อยๆ เพื่อกระตุ้นให้เด็กมีพฤติกรรมที่ดีต่อไป
  • การควบคุมด้วยเสียง (Voice Control): ทันตแพทย์อาจปรับระดับน้ำเสียงและความเร็วในการพูด เพื่อควบคุมสถานการณ์และสร้างความมั่นใจให้กับเด็ก
  • การเบี่ยงเบนความสนใจ (Distraction): การใช้สิ่งอื่นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของเด็ก เช่น การเปิดการ์ตูน การพูดคุยเรื่องที่เด็กสนใจ จะช่วยให้เด็กรู้สึกผ่อนคลายและให้ความร่วมมือมากขึ้น

การทำฟันเด็กพิเศษที่มีความเข้าใจในการสื่อสารได้บ้าง

ในกลุ่มเด็กที่พอจะสื่อสารได้ แต่มีข้อจำกัดบางอย่าง เช่น เด็กออทิสติกบางคน หรือเด็กที่มีภาวะสมาธิสั้น ทันตแพทย์อาจจำเป็นต้องใช้เครื่องมือหรือเทคนิคเพิ่มเติมเพื่อช่วยให้การรักษาราบรื่นขึ้น เช่น

  • การใช้สื่อประกอบการสอน: การใช้หนังสือภาพ ที่แสดงขั้นตอนการทำฟันเป็นรูปภาพ จะช่วยให้เด็กเข้าใจสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ดีกว่าการอธิบายด้วยคำพูดเพียงอย่างเดียว
  • การสร้างความคุ้นเคย: การให้เด็กได้ทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมในคลินิกทันตกรรมก่อนวันนัดจริง อาจช่วยลดความตื่นกลัวและความต่อต้านได้ สำหรับเด็กออทิสติกที่ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง ควรแจ้งให้เด็กทราบล่วงหน้าหลายๆ วันและบอกซ้ำๆ
  • การใช้อุปกรณ์ช่วยในการรักษา: ในบางกรณีอาจจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ช่วยเปิดปาก หรืออุปกรณ์ที่ช่วยจำกัดการเคลื่อนไหวของร่างกาย เพื่อความปลอดภัยของเด็กและเพื่อให้การรักษาสามารถดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การทำฟันเด็กพิเศษที่ไม่สามารถสื่อสารได้เลย

สำหรับเด็กพิเศษที่ไม่สามารถสื่อสารได้ หรือไม่ให้ความร่วมมือในการรักษาเลย แม้จะลองใช้วิธีการปรับพฤติกรรมต่างๆ แล้ว ทันตแพทย์อาจพิจารณาทางเลือกอื่นเพื่อให้การรักษาสามารถทำได้อย่างปลอดภัยและสำเร็จลุล่วง เช่น

  • การรักษาภายใต้การให้ยาสลบ (General Anesthesia): เป็นวิธีที่ทันตแพทย์จะทำหัตถการทั้งหมดในครั้งเดียว ขณะที่เด็กหลับอยู่ภายใต้การดูแลของวิสัญญีแพทย์ วิธีนี้มักใช้ในกรณีที่ต้องทำการรักษาหลายอย่าง หรือในเด็กที่ไม่สามารถให้ความร่วมมือได้เลย
  • การใช้ยาเพื่อให้สงบ (Sedation): ทันตแพทย์อาจให้ยาในรูปแบบรับประทานหรือสูดดม เพื่อให้เด็กรู้สึกผ่อนคลายและง่วงซึม ซึ่งจะช่วยให้เด็กยอมรับการรักษาได้ง่ายขึ้น แต่ยังคงรู้สึกตัวอยู่

ปัญหาช่องปากที่พบบ่อยในเด็กพิเศษ

เด็กพิเศษจะมีความเสี่ยงที่จะมีปัญหาสุขภาพช่องปากได้บ่อยและรุนแรงกว่าเด็กทั่วไป เพราะข้อจำกัดทางร่างกาย สติปัญญา พฤติกรรม และการใช้ยาบางชนิด ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการดูแลทำความสะอาดช่องปาก ปัญหาช่องปากที่พบได้บ่อยในเด็กพิเศษมีดังนี้ :

  • ฟันผุ – เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยที่สุด เพราะทำความสะอาดช่องปากได้ไม่ทั่วถึง รวมถึงพฤติกรรมการทานอาหารที่เด็กพิเศษบางกลุ่มชอบอาหารอ่อนนุ่มติดฟันง่าย รับประทานอาหารซ้ำๆ ปฏิเสธการเปลี่ยนแปลง เช่น ดื่มนมรสหวานเป็นประจำ นอกจากนี้ ยาบางชนิดที่เด็กรับประทานอาจมีส่วนผสมของน้ำตาลหรือมีผลข้างเคียงทำให้น้ำลายน้อย ซึ่งเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อฟันผุ
  • เหงือกอักเสบ – พบได้บ่อยไม่แพ้ฟันผุ เกิดจากการสะสมของคราบจุลินทรีย์ตามเหงือก เพราะแปรงฟันไม่ถูกวิธีหรือไม่สม่ำเสมอ ในเด็กที่มีภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงหรือมีการทำงานของลิ้นและกล้ามเนื้อรอบช่องปากไม่สมบูรณ์ อาจทำให้มีเศษอาหารตกค้างในช่องปากได้ง่าย นำไปสู่การอักเสบของเหงือก นอกจากนี้ ยาบางชนิด เช่น ยากันชัก อาจมีผลข้างเคียงทำให้เหงือกบวมโตผิดปกติได้
  • การสบฟันผิดปกติ ฟันซ้อนเก – เด็กพิเศษบางกลุ่ม เช่น ดาวน์ซินโดรม อาจมีความผิดปกติของโครงสร้างกระดูกขากรรไกร ทำให้ฟันขึ้นมาในตำแหน่งที่ผิดปกติ ซ้อนเก หรือมีการสบฟันที่ไม่เหมาะสม ซึ่งนอกจากจะส่งผลต่อการบดเคี้ยวแล้ว ยังทำให้การทำความสะอาดฟันเป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น และเป็นแหล่งสะสมของคราบจุลินทรีย์
  • การบาดเจ็บในช่องปาก – เด็กพิเศษที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายได้ไม่ค่อยดี หรือมีอาการชักเกร็ง อาจมีความเสี่ยงที่จะหกล้ม ทำให้ฟันบิ่น แตก หัก หรือหลุดได้ง่ายกว่าเด็กทั่วไป
  • การทำร้ายตนเองในช่องปาก – ในเด็กบางราย เช่น เด็กออทิสติก อาจมีพฤติกรรมทำร้ายตนเอง เช่น การกัดริมฝีปาก ลิ้น หรือกระพุ้งแก้มของตนเองซ้ำๆ จนเกิดเป็นแผลเรื้อรัง
  • นอนกัดฟัน – เป็นภาวะที่พบได้บ่อยในเด็กพิเศษหลายกลุ่ม ทำให้เกิดการสึกของฟันอย่างรุนแรง อาจมีอาการปวดกล้ามเนื้อใบหน้าและข้อต่อขากรรไกรตามมาได้

การเตรียมตัวก่อนพาเด็กไปหาหมอฟัน

การเตรียมความพร้อมของผู้ปกครอง

  • เลือกคลินิกและทันตแพทย์ที่เหมาะสม: สิ่งสำคัญอันดับแรกคือการเลือกทันตแพทย์สำหรับเด็ก หรือคลินิกที่มีประสบการณ์ในการดูแลเด็กพิเศษโดยเฉพาะ ควรโทรศัพท์สอบถามและแจ้งข้อมูลของเด็กให้ทางคลินิกทราบล่วงหน้า เช่น ประเภทของความต้องการพิเศษ ข้อจำกัด พฤติกรรมที่อาจเกิดขึ้น และสิ่งที่กระตุ้นความกลัวของเด็ก เพื่อให้ทีมทันตแพทย์สามารถเตรียมการต้อนรับและวางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสม
  • เตรียมข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพของเด็ก: เช่น โรคประจำตัว ยาที่รับประทานเป็นประจำ ประวัติการแพ้ยา
  • สร้างทัศนคติที่ดีและไม่แสดงความกังวล: ผู้ปกครองควรแสดงท่าทีที่ผ่อนคลายและมั่นใจ เพราะความวิตกกังวลของผู้ปกครองสามารถส่งต่อไปยังเด็กได้ หลีกเลี่ยงการใช้คำพูดที่น่ากลัว เช่น “ถอนฟัน” “ฉีดยา” หรือ “เจ็บ” และอย่าใช้การไปหาหมอฟันเป็นคำขู่เมื่อเด็กดื้อ
  • อย่าโกหกว่าจะไปทำอย่างอื่น: ไม่ควรหลอกเด็กว่าจะไปเที่ยวแต่กลับพาไปทำฟัน หรือสัญญาว่าจะแค่ตรวจเฉยๆ ทั้งที่อาจต้องมีการรักษา เพราะจะทำให้เด็กสูญเสียความไว้วางใจและต่อต้านมากขึ้น
  • วางแผนเรื่องเวลา: ควรนัดหมายในช่วงเช้าซึ่งเป็นเวลาที่เด็กมักจะอารมณ์ดีและสดชื่น และควรไปถึงคลินิกก่อนเวลานัดประมาณ 15-30 นาที เพื่อให้เด็กได้สร้างความคุ้นเคยกับสถานที่ใหม่

การเตรียมความพร้อมให้เด็ก

  • บอกล่วงหน้าและบอกซ้ำๆ: ควรแจ้งให้เด็กรู้ล่วงหน้าว่าจะต้องไปพบทันตแพทย์ โดยเฉพาะในเด็กออทิสติกที่ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง ควรบอกล่วงหน้าหลายวันและพูดถึงเรื่องนี้ซ้ำๆ เพื่อให้เด็กได้เตรียมตัว
  • สร้างความคุ้นเคยผ่านสื่อต่างๆ: ก่อนวันนัดประมาณ 1-2 สัปดาห์ อาจใช้วิธีเล่านิทานที่เกี่ยวกับการไปหาหมอฟัน ดูวิดีโอ หรือการ์ตูนที่แสดงภาพลักษณ์ของทันตแพทย์ใจดีและบรรยากาศที่เป็นมิตร เพื่อสร้างทัศนคติที่ดี
  • เล่นบทบาทสมมติ: การเล่นเป็นหมอฟันกับคนไข้ที่บ้านจะช่วยให้เด็กเข้าใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ลองให้เด็กนอนลงแล้วผู้ปกครองใช้กระจกเล็กๆ หรือแปรงสีฟันทำท่าตรวจนับฟัน จะช่วยลดความกลัวต่อสถานการณ์จริงได้
  • เตรียมร่างกายให้พร้อม: เด็กควรได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอและมีสุขภาพแข็งแรงในวันนัด ควรรับประทานอาหารมื้อเบาๆ ก่อนเวลานัดประมาณ 2-3 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการอาเจียน และควรพาเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยก่อนเข้าพบทันตแพทย์
  • นำของใช้ส่วนตัวไปด้วย: การนำของเล่นชิ้นโปรด ตุ๊กตา หรือผ้าห่มที่เด็กติดไปด้วย จะช่วยให้เด็กรู้สึกมั่นคงและปลอดภัยมากขึ้นในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย

การดูแลสุขภาพช่องปากที่บ้าน

  • การดูแลสุขภาพช่องปากให้เด็กพิเศษที่บ้านเป็นเรื่องสำคัญมาก เนื่องจากเป็นการปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอทุกวัน ซึ่งต้องอาศัยความเข้าใจ เทคนิค ความอดทน ของผู้ปกครอง
  • เลือกแปรงสีฟันขนนุ่มที่มีขนาดพอเหมาะกับช่องปากของเด็ก หากเด็กมีปัญหาในการใช้กล้ามเนื้อในการจับแปรง อาจต้องดัดแปลงเล็กน้อย เช่น ใช้ดินน้ำมันพันรอบด้าม หรือใช้ลูกเทนนิสเจาะรูแล้วสอดแปรงเข้าไป หรือจะเลือกใช้แปรงสีฟันไฟฟ้าก็ได้
  • ยาสีฟันควรมีส่วนผสมของฟลูออไรด์ที่มีความเข้มข้น 1,000 ppm เลือกรสชาติที่เด็กชอบจะจูงใจให้เด็กอยากแปรงมากขึ้น หากเด็กยังบ้วนปากไม่เป็นให้ใช้ยาสีฟันประมาณเม็ดถั่วเขียวเท่านั้น
  • ใช้ไหมขัดฟันที่มีด้ามจับ (floss picks) เพื่อความสะดวกในการทำความสะอาดซอกฟันที่แปรงเข้าไม่ถึง
  • แปรงฟันในเวลาเดิมและสถานที่เดิมทุกวัน จะช่วยให้เด็กรู้สึกมั่นคงและคาดเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ ทำให้ลดการต่อต้านลง
  • ท่าแปรงฟันที่แนะนำ (ท่านอนหนุนตัก) เป็นท่าที่แนะนำสำหรับเด็กเล็กหรือไม่ให้ความร่วมมือ โดยให้เด็กนอนหงาย ศีรษะหนุนบนตักของผู้ปกครอง ผู้ปกครองจะสามารถมองเห็นฟันทุกซี่ได้อย่างชัดเจน
  • ท่าแปรงฟันที่แนะนำ (ท่ายืนอยู่ด้านหลัง) ให้ผู้ปกครองยืนอยู่ด้านหลัง ใช้มือข้างหนึ่งโอบประคองคางเด็กไว้ แล้วใช้มืออีกข้างแปรงฟัน
  • หากเด็กต่อต้านการแปรงฟัน เช่น เม้มปากแน่น อาจลองใช้แปรงสีฟันสองอัน โดยให้อันหนึ่งเด็กกัดไว้ที่ฟันกรามข้างหนึ่ง เพื่อเปิดช่องให้อีกอันสามารถสอดเข้าไปแปรงฟันอีกด้านได้ แล้วจึงสลับข้างกัน สิ่งสำคัญคือผู้ปกครองต้องใจเย็นและอดทน การบังคับอาจทำให้เด็กยิ่งต่อต้านมากขึ้น ควรใช้การพูดชมเชยเมื่อเด็กให้ความร่วมมือแม้เพียงเล็กน้อย
  • ลดอาหารหวานและเหนียว: ควรจำกัดขนมหวาน น้ำอัดลม หรืออาหารที่มีแป้งและน้ำตาลเป็นส่วนประกอบหลัก โดยเฉพาะอาหารที่เหนียวติดฟันง่าย
  • รับประทานเป็นมื้อ: ควรให้เด็กรับประทานอาหารเป็นมื้อหลัก ไม่ควรรับประทานจุบจิบตลอดทั้งวัน เพื่อให้น้ำลายมีเวลาชะล้างเศษอาหารและปรับสภาพความเป็นกรดในช่องปาก
  • ส่งเสริมอาหารที่มีประโยชน์: อาหารที่มีเส้นใย เช่น ผักและผลไม้ จะช่วยทำความสะอาดผิวฟันไปในตัว นมและผลิตภัณฑ์จากนมช่วยเสริมสร้างแคลเซียมให้ฟันแข็งแรง การดื่มน้ำเปล่าบ่อยๆ ก็ช่วยชะล้างเศษอาหารและคราบจุลินทรีย์ได้เช่นกัน
  • แนะนำให้เคลือบฟลูออไรด์ทุก 3-6 เดือน เพราะจะช่วยลดโอกาสการเกิดฟันผุในเด็กพิเศษได้เป็นอย่างมาก นอกจากนั้นหากเป็นไปได้แนะนำให้ทำการเคลือบหลุมร่องฟันในฟันกรามทุกซี่ เพราะเด็กพิเศษมักไม่สามารถดูแลทำความสะอาดได้อย่างทั่วถึง มีโอกาสที่เศษอาหารจะเข้าไปติด
  • มาพบทันตแพทย์หรือหมอฟันเด็กทุกๆ 3 เดือน เพื่อประเมินอย่างใกล้ชิด จะทำให้ลดโอกาสการเกิดฟันผุได้มาก

บทความนี้ตรวจสอบโดย

Adisorn Hanworawong

ทันตแพทยศาสตร์บัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
Master in Implant Dentistry (gIDE/UCLA CA. USA.)
วท.ม. สาขาวิทยาการแพทย์ (วิศวกรรมเนื้อเยื่อ)
คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ประกาศนียบัตร อบรมหลักสูตรจัดฟัน Fellowship of Indian Academy of Orthodontics
Invisalign Cert., Invisalign provider

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้เหล่านี้มีไว้เพื่อช่วยให้เราเข้าใจพฤติกรรมการใช้งานเว็บไซต์ของคุณได้ดียิ่งขึ้น ข้อมูลที่ได้จะถูกนำไปวิเคราะห์และใช้ในการพัฒนาปรับปรุงเนื้อหา บริการ และการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดให้กับคุณ ทั้งนี้ข้อมูลดังกล่าวจะไม่มีการเปิดเผยต่อบุคคลภายนอกและจะถูกเก็บเป็นความลับ

บันทึกการตั้งค่า