การสูญเสียกระดูกรองรับฟันเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยทางทันตกรรม ไม่ว่าจะเป็นผลจากการถอนฟัน โรคปริทันต์ ภาวะฟันกรามซ้อน หรือจากอุบัติเหตุ การขาดแคลนกระดูกดังกล่าวส่งผลให้ไม่สามารถฝังรากฟันเทียมหรือทำการบูรณะฟันบางประเภทได้ แต่ด้วยความก้าวหน้าของวิทยาการทางทันตกรรม การปลูกกระดูกฟันจึงถูกนำมาใช้เพื่อแก้ไขปัญหานี้
การปลูกกระดูกคืออะไร
การปลูกถ่ายกระดูก(Bone Grafting หรือ Bone Augmentation) คือ การผ่าตัดที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างหรือฟื้นฟูกระดูกบริเวณขากรรไกรที่มีกระดูกบาง หรือมีการสูญเสียกระดูก การสูญเสียกระดูกนี้อาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น โรคเหงือกการบาดเจ็บหรือการถอนฟันแล้วไม่มีฟันปลอมมาทดแทนเป็นเวลานาน
การปลูกถ่ายกระดูกเป็นขั้นตอนสำคัญในการทำให้คนไข้มีความพร้อมสำหรับการใส่รากฟันเทียม ซึ่งต้องการปริมาณกระดูกที่มากเพียงพอเพื่อให้รากฟันเทียมยึดเกาะได้ดีขึ้น
ประเภทของวัสดุที่ใช้ในการปลูกถ่ายกระดูก
วัสดุที่ใช้ในการปลูกถ่ายกระดูกมีหลักๆ 4 อย่างดังนี้
Autograft
Autograft คือ กระดูกที่เอามาจากร่างกายของคนไข้เอง เช่น สะโพก คาง หรือขากรรไกรล่างมีอัตราการผสานกับกระดูกขากรรไกรสูงที่สุด มักเอากระดูกมาจากส่วนกรามใกล้บริเวณฟันคุด
Allograft
Allograft คือ กระดูกที่ได้มาจากผู้บริจาคคนอื่นจะผ่านการฆ่าเชื้อและกระบวนการต่างๆ ก่อนนำมาใช้ในการผ่าตัด
Xenograft
Xenograft คือ กระดูกจากสัตว์อื่น โดยทั่วไปเป็นวัวหรือหมู ที่ผ่านการปรับแต่งเพื่อความปลอดภัยในการใช้งานกับมนุษย์
Synthetic materials
Synthetic materials คือ วัสดุสังเคราะห์ที่สามารถกระตุ้นการสร้างกระดูกจริงได้ เช่น แคลเซียมฟอสเฟต (Calcium phosphates)
เมื่อไหร่ถึงจะต้องปลูกกระดูกฟัน
คนไข้จะต้องได้รับการปลูกกระดูกฟันเมื่อจะเข้ารับการฝังรากฟันเทียมแต่กระดูกที่รองรับบริเวณนั้นมีปริมาณไม่มากพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณฟันหน้า เมื่อมีการถอนฟันหรือสูญเสียฟันไปแล้วปล่อยไว้เป็นระยะเวลานาน กระดูกที่รองรับรากฟันจะค่อยๆ ละลายยุบตัวลงเรื่อยๆ
บางคนแม้ไม่มีการสูญเสียฟันหรือถอนฟัน แต่กกระดูกก็หายไปได้ เช่น ในกรณีเป็นโรคเหงือก ฟันผุมากๆ ปล่อยให้มีหนอง เชื้อโรคที่อยู่บริเวณกระดูกนานๆ ก็จะทำลายกระดูกไปเรื่อยๆ จนฟันโยกและกระดูกหายไปแล้วทำให้มีปริมาณกระดูกไม่พอที่จะทำรากฟันเทียมเช่นกัน
ยกตัวอย่างเช่น คนไข้บางคนกระดูกบางแค่ 2-3 มิลลิเมตร การที่เราจะใส่รากฟันเทียมซึ่งมีลักษณะคล้ายสกรู ซึ่งบางครั้งมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 3 มิลลิเมตรหรือมากกว่า เราก็ไม่สามารถที่จะเอาสกรูใส่ลงไปได้ จึงต้องทำการปลูกกระดูกเพื่อให้กระดูกหนาขึ้นเพียงพอที่จะรองรับรากฟันเทียมก่อน
ขั้นตอนวิธีการปลูกกระดูกฟัน
ขั้นตอนการปลูกกระดูกฟันมีดังนี้:
- ทันตแพทย์จะทำการประเมินสภาพของกระดูกขากรรไกรและบริเวณรอบๆ ที่ต้องการการปลูกถ่าย รวมถึงการ X-ray และ CT Scan เพื่อประเมินความหนาแน่นและปริมาณของกระดูกและตำแหน่งของโครงสร้างสำคัญ เช่น เส้นประสาทและเส้นเลือด
- เลือกวัสดุปลูกกระดูก มีหลายตัวเลือก เช่น กระดูกจากตัวผู้ป่วยเอง (autograft), กระดูกจากผู้บริจาค (allograft), กระดูกสังเคราะห์ (synthetic options), หรือกระดูกจากสัตว์ (Xenograft) ทันตแพทย์จะเลือกตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดตามความต้องการของผู้ป่วยและเงื่อนไขทางการแพทย์
- หากใช้กระดูกตัวเอง ทันตแพทย์จะตัดกระดูกส่วนอื่นออกมาปลูกถ่ายบริเวณที่ขากรรไกรที่ต้องการ
- หากใช้กระดูกเทียมหรือสังเคราะห์ สามารถปลูกถ่ายได้ทันที
- ทันตแพทย์เย็บเพื่อปิดแผล
- หลังจากการปลูกถ่ายกระดูก ผู้ป่วยจำเป็นต้องใช้เวลาฟื้นตัว รวมถึงหลีกเลี่ยงการเคี้ยวหรือการกระทำใดๆ ที่จะส่งผลให้มีแรงกดบนพื้นที่ที่ได้รับการรักษา ทันตแพทย์จะทำการติดตามเพื่อตรวจสอบการรักษาและการเจริญเติบโตของกระดูกใหม่
เมื่อปลูกกระดูกเสร็จแล้ว ทันตแพทย์จะมีการประเมินอีกครั้งว่าปริมาณกระดูกเพียงพอหรือไม่ ถ้าหากเพียงพอแล้วก็จะสามารถฝังรากฟันเทียมได้ โดยอาจมีการเสริมกระดูกเพิ่มเติมในกระบวนการพร้อมกับการฝังรากฟันเทียมไปด้วย
การปลูกกระดูกที่ฟันหน้า
การปลูกกระดูกที่ฟันหน้าจะต้องการความละเอียดกว่าตำแหน่งอื่นเล็กน้อย เพราะรากฟันเทียมที่ฟันหน้าต้องมีความสวยงาม ดูกลมกลืนกับฟันข้างๆ เนื่องจากเป็นฟันบริเวณที่เห็นชัดที่สุดเวลายิ้ม
รากฟันเทียมจะมั่นคงหรือสวยงามได้ต้องอยู่บนพื้นฐานกระดูกที่ดี กระดูกที่มีปริมาณเหมาะสม ในกรณีที่ฟันธรรมชาติถูกถอนออกไปจากอุบัติเหตุหรือจากโรคเหงือกที่มีการสูญเสียของกระดูกเบ้าฟันค่อนข้างเยอะ มักจะเป็นปัญหาในการฝังรากฟันเทียมฟันหน้า เกือบทุกเคสจะต้องมีการปลูกกระดูกร่วมด้วย
ปลูกกระดูก ใช้กระดูกตัวเองหรือกระดูกเทียมดี
ทันตแพทย์จะเป็นคนพิจารณาว่าควรใช้กระดูกของคนไข้หรือกระดูกเทียม โดยจะต้องทำการตรวจช่องปากก่อนแล้วทำการ X-ray และ CT Scan จึงจะประเมินได้ว่าควรใช้กระดูกอะไรในการปลูก
หากกระดูกหายไปน้อย ต้องการการปลูกกระดูกเพียงเล็กน้อยก็จะใช้กระดูกสังเคราะห์หรือกระดูกสัตว์ดีกว่า เพราะเจ็บตัวน้อยกว่า
หากกระดูกหายไปเยอะ ก็จะใช้กระดูกของคนไข้เองเพราะมีอัตราความสำเร็จสูงกว่าและละลายยากกว่า เนื่องจากกระดูกสัตว์และกระดูกสังเคราะห์มีลักษณะเป็นเม็ดผงจึงมีการละลายที่มากกว่า
หากต้องการกระดูกขนาดใหญ่แต่ไม่ใช้กระดูกของคนไข้เอง อาจจะต้องมีการปลูกกระดูกรอบที่ 2-3 เพื่อให้กระดูกมีความหนาเพียงพอ อาจทำให้เสียเงินหลายรอบ เจ็บตัวหลายรอบ
ข้อดีและข้อเสียของการปลูกกระดูกแต่ละแบบ
กระดูกตัวเอง (Autograft)
ข้อดีของการใช้กระดูกตัวเองคือ
- ได้กระดูกมาใช้งานเยอะ
- เปอร์เซ็นต์ความสำเร็จสูงกว่า
- ใช้เวลาในการรอการปลูกกระดูกสั้นกว่า ประมาณแค่ 3-4 เดือน
ข้อเสียของการใช้กระดูกตัวเองคือ
- ต้องเจ็บแผล 2 ที่ คือที่ที่ไปตัดเอากระดูกมา (Donor site) และที่ที่เอากระดูกมาใส่
- การผ่าตัดใช้เวลานานกว่า
กระดูกเทียมหรือกระดูกจากสัตว์ (Xenograft, Synthetic materials)
ข้อดีของการใช้กระดูกสัตว์หรือกระดูกสังเคราะห์
- เจ็บตัวน้อยกว่าเพราะแผลมีที่เดียว
ข้อเสียของการใช้กระดูกสัตว์หรือกระดูกสังเคราะห์
- ใช้เวลาในการรอนานกว่า ประมาณ 6-8 เดือนขึ้นไป ถึงฝังรากฟันเทียมได้
- หากมีการละลายเยอะ อาจต้องมีการปลูกกระดูกรอบ 2-3 ทำให้เจ็บตัวซ้ำ เสียค่าใช้จ่ายหลายรอบ
อัตราความสำเร็จและปัจจัยที่มีผลต่อการปลูกกระดูก
ในการปลูกกระดูกฟันหรือการปลูกกระดูกเทียมในทางทันตกรรม อัตราความสำเร็จและคุณภาพของการปลูกกระดูกขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ซึ่งรวมถึงประเภทของวัสดุที่ใช้ วิธีการปลูกกระดูก และการดูแลรักษาหลังการผ่าตัด
อัตราความสำเร็จของการปลูกกระดูกฟันเทียมอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่ามีการใช้กระดูกเทียมเพียงพอหรือไม่ และกระดูกเหล่านั้นสามารถผสานกับกระดูกธรรมชาติได้ดีเพียงใด บางครั้งหลังจากการปลูกกระดูก 6-8 เดือน กระดูกที่ถูกปลูกอาจมีการยึดติดและผสานกับกระดูกธรรมชาติเพียง 40-60% เท่านั้น ดังนั้น ทันตแพทย์จะคำนึงและวางแผนการใส่กระดูกเทียมให้มากกว่าที่ต้องการ เพื่อชดเชยการสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น
ปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จของการปลูกกระดูกเทียม การยึดติดหรือผลสำเร็จในการปลูกกระดูกขึ้นกับหลายปัจจัย เช่น
- คนไข้ต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของทันตแพทย์อย่างเคร่งครัดเพื่อส่งเสริมการรักษาและลดโอกาสของการเกิดภาวะแทรกซ้อน
- งดสูบบุหรี่เพราะการสูบบุหรี่สามารถลดการหลั่งของเลือดไปยังบริเวณที่รักษา ทำให้กระดูกฟื้นตัวช้าลงและลดโอกาสในการผสานของกระดูก
- หากมีการใส่ฟันปลอมบริเวณที่ทำการปลูกกระดูก คนไข้อาจต้องงดใส่ฟันปลอมชั่วคราวหรือปรับการใช้งานฟันปลอมเพื่อไม่ให้มีแรงกดบนบริเวณที่ปลูกกระดูก เพราะอาจทำให้กระดูกที่ปลูกใหม่เสียหายหรือการผสานของกระดูกล้มเหลว
อาการหลังปลูกกระดูก
หลังปลูกกระดูกเทียมคนไข้มักมีอาการบวมและปวดบริเวณที่ทำการปลูกกระดูก โดยจะมีอาการปวดและบวมมากกว่าการฝังรากฟันเทียมแบบปกติ เนื่องจากเป็นการใส่วัสดุอื่นเสริมเข้าไปบริเวณนั้น การอักเสบและการหายของแผลจะใช้เวลาพักฟื้นค่อนข้างนาน โดยปกติอาจบวมหรือปวดประมาณ 1-2 อาทิตย์
การดูแลหลังปลูกกระดูกฟัน
การดูแลหลังการปลูกกระดูกฟันเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพและยืดอายุการใช้งานของกระดูกที่ปลูกได้นานขึ้น รวมถึงลดความเสี่ยงของการติดเชื้อได้ด้วย
- หลังจากปลูกกระดูกฟันเสร็จ ใน 24 ชั่วโมงแรกให้ระมัดระวังเรื่องการกระเทือนในช่องปาก ควรรับประทานอาหารเหลวหรืออ่อน และไม่ควรดื่มน้ำจากหลอดจนกว่าแผลจะหายดี
- หลีกเลี่ยงการเคี้ยวหรือกัดอาหารแข็งหรือเหนียว เพื่อป้องกันไม่ให้กระดูกที่ปลูกได้รับความเสียหาย
- รักษาความสะอาดในช่องปากให้ดี แปรงฟันเบาๆ ใช้แปรงขนนุ่ม หลีกเลี่ยงบริเวณที่ปลูกกระดูก
- ห้ามดื่มเครืองดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด เพราะจะทำให้แผลหายช้า
- ห้ามสูบบุหรี่เพราะทำให้การปลูกกระดูกได้ผลช้าลงและไม่สำเร็จ
- ห้ามออกกำลังกายหนักใน 3 วันแรกหลังผ่าตัดเสร็จ
- หากมีอาการปวด เลือดออก บวมเพิ่ม มีไข้ หายใจลำบาก กลืนลำบาก ให้รีบมาพบทันตแพทย์
ปลูกกระดูกฟัน ราคาเท่าไหร่
ราคาสำหรับปลูกกระดูกเพื่อใส่รากฟันเทียมที่ MOS Dental Clinic เป็นดังนี้:
หัตถการ (Procedure) | ราคา (บาท) |
ปลูกกระดูกสำหรับการใส่รากเทียม ( Bone Augmentation ) | 15,000-25,000 |
ดังนั้นเวลาวางแผนทำรากฟันเทียมหากคนไข้ปรึกษาทันตแพทย์แล้วพบว่ามีกระดูกบาง จะต้องเผื่องบประมาณสำหรับปลูกกระดูกไว้ด้วยเช่นกัน คือต้องวางแผนสำหรับราคาตัวรากฟันเทียม, ตัวครอบฟัน, และการปลูกกระดูก
ข้อแนะนำคนไข้ที่สูญเสียฟัน
หากคนไข้มีการสูญเสียฟันไปโดยเฉพาะฟันหน้า ควรรีบเข้ามาตรวจประเมินตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะหากปล่อยระยะเวลาผ่านไปนานๆ กระดูกบริเวณนั้นก็จะค่อยๆ ละลายไป หากเราได้รับการรักษาและฝังรากฟันเทียมอย่างรวดเร็ว จะสามารถลดโอกาสในการที่จะต้องปลูกกระดูกเยอะๆ ลงไปได้ รวมถึงลดการเจ็บจากการผ่าตัด และลดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น ทำให้สามารถใส่รากฟันเทียมได้ง่ายกว่า ในระยะเวลาที่รวดเร็วขึ้น
คำถามพบบ่อยเกี่ยวกับปลูกกระดูกฟัน
ปลูกกระดูกฟัน เจ็บไหม บวมกี่วัน
ความเจ็บปวดของการปลูกกระดูกฟันนั้นเจ็บ แต่ไม่ได้เจ็บมากขนาดทนไม่ได้ จะเจ็บประมาณเท่าๆ กับผ่าฟันคุดหรือถอนฟันเคสยากๆ และหากใช้กระดูกของคนไข้เองก็จะต้องเจ็บ 2 ที่ จากตำแหน่งที่เอากระดูกมา และตำแหน่งที่ปลูกกระดูก
อาจมีอาการบวมหรือมีรอยช้ำในช่วง 2-3 วันแรก และอาการบวมจะค่อยๆ ดีขึ้นใน 1-2 อาทิตย์ คนไข้สามารถประคบเย็น รวมถึงรับประทานยาแก้ปวดได้
นอกจากนั้นควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่อาจทำให้แผลหายช้า เช่น สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น
ปลูกกระดูกฟันใช้เวลานานไหม
ระยะเวลาในการปลูกกระดูกเทียมขึ้นอยู่กับว่าใช้กระดูกจากอะไรในการปลูก
- ปลูกด้วยกระดูกตัวเอง – จะใช้เวลาในการปลูกประมาณ 4 เดือนถึงจะฝังรากฟันเทียมได้
- ปลูกด้วยกระดูกเทียมหรือกระดูกสังเคราะห์ – จะใช้เวลาในการปลูกประมาณ 6-8 เดือน เพราะต้องรอให้เกิดกระดูกจริงตามมาจึงใช้เวลานานกว่า
ปลูกกระดูกฟันที่ไหนดี
- ควรเลือกคลินิกหรือโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียง ทันตแพทย์มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านในการปลูกกระดูกและการติดตั้งรากฟันเทียม
- ทันตแพทย์และสถานที่ปฏิบัติการมีการรับรองจากทันตแพทยสภา
- ตำแหน่งที่ตั้งของคลินิกหรือโรงพยาบาล ต้องมีความสะดวกในการเดินทาง หากมีปัญหาสามารถติดต่อได้ง่าย ไปรักษาได้ง่าย
- เปรียบเทียบราคาจากหลายๆ คลินิก
- ดูรีวิวจริงจากคนได้รับบริการ