การเลือกว่าจะทำรากฟันเทียมที่ไหนดีนั้นมีความสำคัญมาก เพราะรากฟันเทียมเป็นอุปกรณ์ทางทันตกรรมที่จะอยู่กับคนไข้ไปเป็นสิบปี มีผลต่อความสวยงามของฟัน และมีราคาค่อนข้างสูง การเลือกว่าจะทำรากฟันเทียมที่ไหนดีควรพิจารณาจากปัจจัยต่อไปนี้:
- คลินิกมีทันตแพทย์เฉพาะทางด้านรากฟันเทียมโดยเฉพาะ
- อุปกรณ์และคลินิกได้มาตรฐาน
- ราคาสมเหตุสมผล
- เดินทางสะดวก
- มีการรับประกัน
- รีวิวจากผู้รับบริการจริง
- บริการหลังการรักษาที่ดี
ซึ่งแต่ละส่วนมีรายละเอียดดังนี้
คลินิกมีทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านรากฟันเทียมโดยเฉพาะ
ข้อที่สำคัญที่สุดในการทำรากฟันเทียมคือการเลือกทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง มีความรู้และประสบการณ์สูงในการทำรากฟันเทียม เพื่อให้การทำรากฟันเทียมมีอัตราการสำเร็จสูง ทำแล้วรากฟันเทียมไม่โยก รากฟันเทียมยึดเกาะกับกระดูกขากรรไกรได้อย่างแน่นหนา การฝังรากฟันเทียมได้มุมที่ถูกต้อง กระจายแรงกัดได้สมดุลเพื่อป้องกันรากฟันเทียมเสียหาย สามารถใช้แทนฟันธรรมชาติได้นานเป็นสิบปี
สามารถอ่านข้อมูลเกี่ยวกับทันตแพทย์แต่ละท่านของ MOS Dental Clinic ได้ที่รายชื่อทันตแพทย์ทั้งหมด
และสามารถตรวจสอบว่าทันตแพทย์แต่ละท่านได้รับใบอนุญาติจริงได้จากเว็บไซต์ทันตแพทยสภา
ที่ MOS Dental Clinic ของเรา ทันตแพทย์ได้รับการ training ภายในอย่างเข้มข้น ไม่ว่าคุณจะเคยรับการทำรากฟันเทียมที่สาขาไหนของ MOS ก็จะได้รับมาตรฐานเดียวกันหมด หากในวันข้างหน้าคุณเปลี่ยนที่อยู่ ไปอยู่ใกล้สาขาอื่นของ MOS คุณก็สามารถมั่นใจได้ว่าทันตแพทย์ทุกคนมีมาตรฐานเดียวกัน ดูแลคุณได้เหมือนกัน
วีดีโอการฝึกอบรมของ MOS Dental Clinic เพื่อเสริมและเพิ่มทักษะ รวมถึง update ความรู้และเทคโนโลยีใหม่ๆ จากรากฟันเทียม MIS7
อุปกรณ์และคลินิกได้มาตรฐาน
อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญมากในการพิจารณาว่าจะทำรากฟันเทียมที่ไหนดี คือต้องเลือกคลินิกที่มีอุปกรณ์ที่ทันสมัยและได้มาตรฐาน อุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูงจะช่วยให้การถ่ายภาพโครงสร้างใบหน้าและช่องปากของคนไข้เป็น 3 มิติได้อย่างแม่นยำ ทำให้การวางแผนการรักษาง่ายกว่าและผิดพลาดน้อยกว่า
นอกจากนั้นเครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆ ต้องสะอาดและได้รับการฆ่าเชื้อเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ (คนไข้สามารถสังเกตได้จากสภาพแวดล้อมในคลินิกว่าดูสะอาดหรือไม่) รวมถึงคลินิกจะต้องเลือกใช้รากฟันเทียมยี่ห้อที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล หากในวันข้างหน้ารากฟันเทียมมีปัญหาจะได้มีอะไหล่รองรับ
ราคาสมเหตุสมผล
ราคาที่สมเหตุสมผลหมายถึงการจำนวนเงินเหมาะสมกับคุณภาพของการรักษา ไม่แพงเกินไปจนส่งผลกระทบต่อการเงินของคนไข้ ทำโดยเปรียบเทียบราคากับคลินิกอื่นๆ และพิจารณาบริการและวัสดุที่ใช้ และตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีค่าใช้จ่ายแฝง รวมถึงการดูการผ่อนชำระด้วยว่า สามารถผ่อนชำระได้กี่งวด งวดแรกจ่ายกี่บาท เป็นต้น เพื่อให้วางแผนค่าใช้จ่ายได้ถูกต้อง
ที่ MOS Dental Clinic มีการแบ่งจ่ายชำระเป็นงวดดังนี้
งวดแรก – วันปักรากฟันเทียม
งวดที่สอง – วันพิมพ์ครอบฟัน (ห่างจากงวดแรกประมาณ 3 เดือน+)
งวดที่สาม – วันใส่ครอบฟัน (ห่างจากงวดที่สองประมาณ 1 อาทิตย์)
เช่น
ยี่ห้อ | Neo Biotech | Alpha Bio | Straumann |
งวดแรก | 14,000 | 25,000 | 35,000 |
งวดที่สอง | 12,000 | 12,500 | 20,000 |
งวดที่สาม | 12,000 | 12,500 | 20,000 |
ราคาเต็ม (รวมทุกงวด) | 38,000 | 50,000 | 75,000 |
หมายเหตุ : สามารถอ่านราคารากฟันเทียมและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ได้จากหน้าการเลือกยี่ห้อรากฟันเทียม
เดินทางสะดวก
การเดินทางไปยังคลินิกเองก็มีความสำคัญเช่นกัน ควรเลือกคลินิกที่ใกล้บ้านหรือที่ทำงานเพราะต้องผ่านเป็นประจำ หรือเลือกคลินิกที่อยู่ใกล้บริเวณที่มีรถไฟฟ้าผ่านเพื่อให้การเดินทางสะดวกมากขึ้น สามารถดูสาขาทั้งหมดกว่า 30 สาขาของ MOS Dental Clinic ทั้งในกรุงเทพและปริมณฑล เพื่อเลือกทำรากฟันเทียมที่สาขาใกล้คุณได้เลย
มีการรับประกัน
ควรเลือกคลินิกที่มีการรับประกันการทำรากฟันเทียม เพื่อความมั่นใจในกรณีเกิดปัญหา โดยพิจารณาจากเงื่อนไขการรับประกัน รวมถึงระยะเวลาการรับประกันด้วย
การรับประกันรากฟันเทียมของ MOS Dental Clinic มีดังนี้:
รากฟันเทียม หลวม, หลุด, บิ่น, แตก ดูแลซ่อมแซมฟรีภายใน 1 ปี และปีที่ 2-3 คิดค่าวัสดุ ค่าแรงไม่เกิน 50% ของราคาปกติ
รีวิวจากผู้รับบริการจริง
อ่านและดูรูปจากการทำรากฟันเทียมของจริงจากลูกค้าท่านอื่นๆ ที่ได้รับการรักษาจากคลินิกที่เราสนใจ หากมีการรีวิวที่ดีต่อเนื่องก็แสดงว่าลูกค้าส่วนใหญ่มีความพึงพอใจกับคลินิกนั้น และน่าจะทำให้การเข้ารับการทำรากฟันเทียมของคนไข้ประสบผลสำเร็จที่ดีเช่นกัน
บริการหลังการรักษาที่ดี
เลือกคลินิกที่มีบริการหลังการรักษาที่ดี ดูแลและติดตามผลอย่างสม่ำเสมอรวมถึงสามารถติดต่อสอบถามและขอคำปรึกษาในกรณีที่มีปัญหาได้ตลอด
สิ่งหนึ่งที่คนไข้ทำรากฟันเทียมต้องทราบก็คือ วันนี้อาจไม่มีปัญหา แต่หากภายในอีก 10-20 ปีข้างหน้า มีปัญหาเกิดขึ้น ทาง MOS จะยังคงดูแลคุณเสมอ เหมือนกับคนไข้รากฟันเทียมคนแรกของเราที่เราดูแลมา 20 กว่าปี ตั้งแต่ปี 2002 จนถึงปัจจุบัน